การขยายพันธุ์นกแสก เพื่อใช้ในการควบคุมประชากรหนูศัตรูปาล์มน้ำมัน
พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในภาคใต้ของประเทศในปัจจุบัน มีประมาณ 1.7 ล้านไร่ ในอนาคตพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีกมาก จากนโยบายของรัฐที่ต้องการเพิ่มพื้นที่ปลูกปาล์มให้ได้ถึง 3 ล้านไร่ ในขณะที่ปัญหาต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมันของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ปลูกปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก คือ มาเลเซีย ซึ่งมีต้นทุนการผลิตผลปาล์มสดกิโลกรัมละประมาณ 1.00 บาท แต่ของไทยต้นทุนประมาณกิโลกรัมละ 1.52 บาท พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ปลูกส่วนหนึ่งเป็นพันธุ์ให้ผลผลิตต่ำ ประกอบกับบางส่วนปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของปาล์มสดของประเทศไทยได้เพียง 2.807 ตัน/ไร่/ปี ขณะที่ของประเทศมาเลเซียได้ถึง 3.017 ตัน/ไร่/ปี
ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของปาล์มน้ำมันของประเทศไทย ต่ำ คือ ความเสียหายจากการกัดทำลายของหนูศัตรูพืช มี การสำรวจพบว่าเสียหายร้อยละ 6-36 คิดเป็นมูลค่าของผลผลิตปาล์มสดมากกว่าปีละ 580 ล้านบาท ความเสียหายต่อผลผลิตต่อไร่ของปาล์มน้ำมันที่เกิดจากหนูศัตรูพืชเห็นได้ ชัดเจน และมีปริมาณมากกว่าศัตรูพืชชนิดอื่นๆ แม้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จะแก้ไขปัญหา โดยใช้สารเคมีกำจัดหนูควบคุมปริมาณหนูในสวนปาล์มอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่สามารถลดความเสียหายของผลผลิต และไม่สามารถลดความเสียหายของผลผลิต และไม่สามารถลดค่าสารกำจัดหนู รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการป้องกันกำจัด เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันบางส่วนจึงไม่ทำการกำจัดหนู เนื่องจากไม่คุ้มทุนและไม่ได้ผล และปล่อยให้หนูกินผลผลิตปาล์มน้ำมัน โดยไม่ดำเนินการใดๆ เหลือผลผลิตจากหนูกินเท่าใดก็เอาเท่านั้น ถือเป็นความสูญเสียต่อปริมาณผลผลิตและคุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะส่งเข้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอย่างมาก
เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการแก้ไขปัญหาหนูศัตรูปาล์มน้ำมัน จึงได้นำกรณีตัวอย่างของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันโดยนกแสก (Tyto alba) โดยการสร้างรังไว้ในสวนปาล์มเพื่อชักนำให้นกแสกเข้ามาอาศัย และขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนประชากรขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถควบคุมประชากรหนูไม่ให้มีมากจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตอย่าง รุนแรงได้ แม้ว่าในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศมาเลเซียจะมีนกแสกอยู่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากอยู่ใกล้บริเวณที่เรียกว่า ?the intervening equatorial zone? ซึ่งไม่พบนกแสกอาศัยอยู่ มีรายงานพบนกแสกเพียงครั้งเดียวบนเกาะสุมาตรา
ปี พ.ศ.2532 สถาบันวิจัยปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย (PORIM) สำรวจพบว่าสวนปาล์มน้ำมันในมาเลเซีย จำนวน 188 สวน จากทั้งหมด 2,412 สวน ใช้วิธีการควบคุมหนูในสวนปาล์มโดยใช้นกแสก เกษตรกรส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดหนูที่เห็นอันตรายต่อนกแสก และใช้วิธีการป้องกันกำจัดหนูหลายๆ วิธีผสมผสานกัน การใช้นกแสกควบคุมหนูในสวนปาล์มมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นกแสกเป็นนกประจำถิ่นของประเทศไทย พบบ่อยและมีปริมาณปานกลางทั่วทุกภาคของประเทศ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง สถานภาพในปัจจุบันจำนวนนกแสกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากประชากรลดน้อยลงมาก จากสาเหตุ 3 ประการ คือ ถูกล่าเพราะถูกเกลียดชังว่าเป็นนกผี ขาดแคลนต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงสำหรับทำรังวางไข่ในฤดูผสมพันธุ์ รวมทั้งโบสถ์วิหารเก่าๆ ตามวัดวาอารามที่นกแสกเคยใช้เป็นที่อยู่อาศัยถูกรื้อถอนเพื่อสร้างโบสถ์ใหม่ และนกแสกส่วนหนึ่งตายไปเนื่องจากกินหนูที่ถูกวางยาเบื่อตามไร่นา
มีการศึกษาวิจัย พบว่าอาหารที่นกแสกในสวนปาล์มน้ำมันทั้งในประเทศมาเลเซียและในประเทศไทย เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ คือหนูที่กัดทำลายผลผลิตปาล์มน้ำมัน โดยเป็นสกุลหนูท้องขาว (Rattus spp.) ประเมินกันว่านกแสก 1 ตัวสามารถกำจัดหนูที่เป็นศัตรูปาล์มน้ำมันได้ประมาณ 700 ตัว/ปี ซึ่งหนูจำนวนนี้ถ้าหากทำการกำจัดด้วยวิธีใช้สารเคมีประเภทออกฤทธิ์ช้าแบบ ก้อนขี้ผึ้งสำเร็จรูป รวมกับค่าจ้างคนงานวางยาเบื่อหนู จะมีต้นทุนประมาณ 500 บาท นี่คือมูลค่าของนกแสก 1 ตัว/ปี ถ้าลงทุนสร้างรังให้นกแสกรังละ 1,000 บาท นกแสกมีอายุขันประมาณ 4 ปี สามารถคืนทุนค่าสร้างรังภายใน 2 ปี และมีกำไรอีกในช่วง 2 ปีที่เหลือของอายุขัย ในขณะเดียวกันในแต่ละปีนกหนึ่งคู่สามารถสืบพันธุ์ให้ลูกในอัตราเฉลี่ย 3.1 + 2.2 ตัว/คู่/ปี ลูกนกที่เกิดขึ้นมาสามารถจับคู่ผสมพันธุ์ได้ภายใน 1 ปี ดังนั้น การเพิ่มจำนวนประชากรของนกแสกจึงเป็นลักษณะทวีคูณ ซึ่งจะช้าในช่วง 3 ปีแรก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรพ่อ-แม่นก ในช่วงเริ่มต้น
จากผลการศึกษาที่ได้ดำเนินการที่สวนปาล์มที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเริ่มต้นจากพ่อ-แม่นกในธรรมชาติที่มีอยู่น้อยมาก (ไม่พบนกในสวนปาล์มในระยะแรกเริ่ม เนื่องจากนกแสกตายจากการกินหนูที่กินยาเบื่อหนู) การสร้างรังให้นกแสกในช่วง 4 ปีแรกมีจำนวนไม่มากนัก (ประมาณ 15 รัง) ทำให้อัตราการเพิ่มประชากรนกแสกในช่วงแรกค่อนข้างช้า ต่อมาในช่วง 2 ปีหลัง ได้เพิ่มจำนวนรังนกเป็น 154 รัง ประชากรนกแสกจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเมินจำนวนประชากรนกแสกหลังฤดูการจับคู่ผสมพันธ์ปี 2545/2546 ได้ประมาณ 300 ตัว และในฤดูการผสมพันธุ์ปี 2546/2547 ที่ผ่านมาจำนวนประชากรนกแสกคาดว่าจะเพิ่มเป็น 700 ตัว ซึงนกแสกจำนวนนี้สามารถกำจัดหนูที่กัดทำลายผลผลิตปาล์มน้ำมันได้ประมาณ 210,000 ตัว/ปี และ 490,000 ตัว/ปี ตามลำดับ จาการสำรวจร่องรอยการกัดทำลายของหนูบนทลายปาล์มสดที่ตัดลงมารวมกองไว้ พบร่องรอยการกัดทำลายน้อยมาก โดยที่เจ้าของสวนไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดหนูเลย
กรณีตัวอย่างดังกล่าว น่าจะเป็นแนวทางการควบคุมประชากรหนูในสวนปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่ ที่สามารถลดค่าใช้จ่าย และลดความเสียหายของผลผลิตปาล์มน้ำมันอย่างได้ผล ซึ่งจะเป็นผลดีในระยะยาวในการประกอบการ ซึ่งหน่วยงานทางราชการที่เกี่ยวข้องน่าจะนำโครงการใช้นกแสกศัตรูธรรมชาติควบ คุมหนูศัตรูปาล์มน้ำมันมาขยายผล และใช้เป็นต้นแบบเพื่อปรับปรุงขยายผลไปสู่พื้นที่เพาะปลูกพืชอื่นๆ ที่ประสบปัญหาจากหนูศัตรูพืช เช่นนาข้าวและพืชไร่ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิชาการ และเปรียบเทียบต้นทุน ข้อดี-ข้อเสียกับวิธรการกำจัดหนู โดยใช้สารเคมีแบบเดิมๆ ของเกษตรกร
โดย : เกรียงศักดิ์ หามะฤทธิ์ กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร